มีอยู่คราวหนึ่ง จื่อฉินพูดกับม่อจื้อว่า
“ผมนับถือคนที่มีพรสวรรค์ในการพูดจริงๆ พวกเขาพูดจามีสำเนียงชัดเจนไพเราะน่าฟัง ท่วงทีลีลาในการพูดเป็นธรรมชาติ จะพูดจะจาอะไรดูมีเหตุมีผลน่าเชื่อถือ แต่ตัวกระผมเอง เวลาอยู่ต่อหน้าคนมาก ๆ มักจะรู้สึกตื่นเต้น ประหม่า ไม่ค่อยกล้าพูดแสดงความเห็น แม้จะพยายามฝืนพูดออกไปก็ไม่สามารถสื่อเนื้อหาได้เต็มที่ตามที่ตนปรารถนา ขอเรียนถามว่า กระผมควรจะใช้วิธีการอย่างไร มาฝึกฝนความสามารถในการพูดของตนเอง”
ม่อจื้อ ตอบว่า
“การพูดกลับไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด คนจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในหน้าที่การงาน กลับไม่แน่ว่าคือคนที่พูดเก่งที่สุด ฟ้าดินให้กำเนิดสรรพสิ่ง แต่ก็ไม่เคยพูดอะไรสักคำ พระอาทิตย์พระจันทร์ส่องสว่าง แก่โลกแต่ก็เป็นสิ่งที่สงบเงียบงัน ต้นไม้ไม่พูดจา กลับไม่ทำให้คุณค่าในตัวของมันลดลงไป ดอกไม้ในป่าไม่พูดจา ก็ไม่ลดความสวยงามของมันลง คน ๆ หนึ่ง แม้จะมีคารมฝีปากดี สามารถพูดขาวให้กลายเป็นดำได้ แต่ทว่าความจริงก็ยังคงเป็นความจริง ไม่สามารถใช้คำพูดมาเปลี่ยนสัจธรรมนั้นได้”
จื่อฉิน พูดว่า
“ที่ท่านพูดนั้นถูกจริง ๆ แต่ทว่าความสามารถในการพูดก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก กระผมควรจะเสริมจุดอ่อนในด้านนี้ของตัวเองอย่างไรดีครับ”
ม่อจื้อ ตอบว่า
“ถ้าท่านจะถามให้ได้จริง ๆ ละก็ ฉันจะยกตัวอย่างจริงมาอธิบายให้ฟัง เธอดูพวกกบ แมลงวัน สัตว์เหล่านั้นส่งเสียงตลอดวันไม่ยอมหยุด แต่เสียงของมันก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด กลับสร้างความรำคาญแก่เรา ตรงกันข้าม ไก่แจ้ปกติไม่ค่อยส่งเสียง แต่ในยามฟ้าสาง รุ่งอรุณก็ส่งเสียงขันไม่กี่ครั้ง ผู้คนทั้งหลายพอได้ยินเสียงไก่ขัน ก็รีบลุกขึ้นทำงาน”
จื่อฉิน พูดว่า
“กระผมเข้าใจแล้วครับ เวลาควรพูดค่อยพูด เวลาที่ไม่ควรพูดอย่าเป็นคนปากพล่อย”
ท่านสาธุชนทั้งหลาย…
“คนฉลาดไม่ใช่เป็นแต่พูดเท่านั้น ต้องนิ่งเป็นด้วย คนที่พูดเป็นนั้นต้องรู้สิ่งที่ไม่ควรพูดให้ยิ่งกว่าสิ่งที่ควรพูด”
——————————————————————————————–
ที่มา : หนังสือ “มังกรสอนใจ” โดย พระมหาดร.สมชาย ฐานวุฑฺโฒ