วิเคราะห์ อัคคัญญสูตร

  • by

โดย : พระมหาวุฒิชัย วุฑฺฒิชโย

๑. วรรณะ ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ กับของพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตมีความแตกต่างกัน

ในทางศาสนาพราหมณ์ ได้แบ่งวรรณะออกเป็น ๔ วรรณะ คือ
๑. กษัตริย์
๒. พราหมณ์
๓. แพศย์
๔. ศูทร

โดยมีความเชื่อว่า วรรณะเหล่านี้ล้วนแต่เกิดขึ้นมาจากพรหม ดังที่ปรากฏคือ
“พราหมณ์เท่านั้น เป็นวรรณะประเสริฐที่สุด วรรณะเหล่าอื่นเลวทราม พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะขาว วรรณะอื่นดำ พวกพราหมณ์ทั้งหลายเท่านั้นบริสุทธิ์ คนที่ไม่ใช่พราหมณ์ หาบริสุทธิ์ไม่ พวกพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพระพรหม พวกท่านมาละเสียจากวรรณะที่ประเสริฐที่สุดเข้าไปอยู่ในวรรณะที่เลวทราม คือพวกสมณะโล้นเป็นพวกคหบดีเป็นพวกดำ เกิดจากเท้าของพระพรหม “
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ พวกพราหมณ์ระลึกถึงเรื่องเก่าของตนไม่ได้ จึงกล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐที่สุด วรรณะเหล่าอื่นเลวทราม พราหมณ์เท่านั้นมีวรรณะขาว วรรณะเหล่าอื่นดำ พวกพราหมณ์ เป็นบุตรเกิดแต่อุระ เกิดจากปากของพระพรหม เกิดจากพระพรหม พรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพรหม ดังนี้”

วรรณะที่ปรากฏในพระพุทธศาสนา คือวรรณะตั้งแต่ในคราวที่กำเนิดมนุษย์โลก คือ
“ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์เหล่านั้นพากันบริโภคง้วนดิน มีง้วนดินเป็นภักษาเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่ตลอดกาลยืดยาวนาน. ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ สัตว์เหล่านั้นบริโภคง้วนดิน มีง้วนดินนั้นเป็นภักษาเป็นอาหารได้ตั้งอยู่ตลอดกาลยืดยาวนานโดยประการใดแล ความแข็งแกร่งก็เกิดมีในกายของสัตว์เหล่านั้น ความมีผิวพรรณดี ก็ได้ปรากฏชัดขึ้นมา สัตว์บางพวกก็มีผิวพรรณดี บางพวกก็มีผิวพรรณเลว บรรดาสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดมีผิวพรรณดี สัตว์เหล่านั้นก็ดูหมิ่นสัตว์ ที่มีผิวพรรณเลวว่า เรามีผิวพรรณดีกว่าสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นมีผิวพรรณเลวกว่าเราดังนี้”

จะเห็นได้ว่าความแตกต่างของผิวพรรณที่ศาสนาพราหมณ์เข้าใจนั้นมีความเชื่อว่า คนทั้งหลายต่างเกิดมาแต่พรหม ส่วนพระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงระลึกชาติไปดูตั้งแต่กำเนิดมนุษย์ ก็ทำให้ทราบถึงว่า จริงๆแล้ว วรรณะนี้เกิดมาจากผิวพรรณ ซึ่งบังเกิดจากธาตุ ๔ ที่มีความแปรเปลี่ยนไป จากแต่เดิมที่มีแสงสว่างในตัว พอบริโภคง้วนดินซึ่งเป็นธาตุหยาบ ความหยาบของร่างกายจึงบังเกิดขึ้น และมีความแตกต่างกันไป จึงเป็นที่มาของวรรณะ มีการดูหมิ่นเหยียดหยาม จะเห็นได้ว่า วรรณะที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นจากมลภาวะของผู้นั้นเอง คือผู้ใดมีธาตุหยาบมาก มีกิเลสมาก วรรณะก็จะมีความหยาบมากตามไปด้วย และทำให้เริ่มเกิดอกุศลกรรมมากขึ้น เมื่อมีเหตุการณ์ไม่ดีมากขึ้น ก็เลยเกิดวิวัฒนาการการจัดตั้งสังคมและควบคุมดูแลกัน รวมทั้งเกิดบุคคลชนชั้นต่างๆ ตามที่ปรากฏเป็นวรรณะ ของศาสนาพราหมณ์

วรรณะของศาสนาพราหมณ์จะเป็นตัวกำหนดคุณงามความดี ว่าวรรณะสูงถือว่ามีคุณความดีมากกว่า ในขณะที่ทางพระพุทธศาสนาผู้ใดมีการประพฤติธรรม ประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต จึงจะได้ชื่อว่า เป็นผู้มีคุณธรรม

๒. มนุษย์เป็นผู้ลิขิตโลก

จากการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงระลึกชาติไปดูหนหลัง ย้อนไปดูถึงเรื่องกำเนิดโลก และได้ตรัสถึงวิวัฒนาการของโลกและมนุษย์มาตามลำดับ เป็นเครื่องยืนยันว่า มนุษย์เป็นผู้ควบคุมโชคชะตาฟ้าดิน มนุษย์เป็นผู้ควบคุมบรรยากาศโลก จากการเป็นอาภัสสรพรหม มีรัศมีสว่างไสว พอบริโภคง้วนดินธาตุหยาบก็ปรากฏ ทำให้เหาะไม่ได้ เมื่อรัศมีหมด เกิดผิวพรรณ เกิดการเล็งแลกันเรื่องผิวพรรณ พระจันทร์ และพระอาทิตย์ก็ปรากฏ ฯลฯ
การที่สัตว์เหล่านั้นดูถูกกันเรื่องผิวพรรณเป็นเหตุ ใจก็เกิดมลภาวะ บาปก็เริ่มเกิดมากขึ้น ธาตุต่างๆก็สกปรกมากขึ้น เพราะความสกปรก ความบาปเพิ่มขึ้น เป็นผลส่งให้ง้วนดินอัตรธานหายไป ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่ามนุษย์เป็นผู้ควบคุมบรรยากาศ ควบคุมสภาพแวดล้อมในโลกมนุษย์นี้ และผลที่มนุษย์ทำย่อมส่งผลกระทบกระเทือนออกไปรอบตัวต่อธรรมชาติ การที่เราทำอะไรไม่ดีขึ้นมา ก็จะเป็นผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมรอบตัว แต่ถ้าทำสิ่งดี ก็จะเป็นผลดีต่อสภาพแวดล้อม ดังกับที่มีคำกล่าวไว้ว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว”
ปัญหาที่เกิดขึ้นมากมายในโลก เช่น ปัญหาสภาพแวดล้อมเป็นพิษ, น้ำท่วม, ไฟไหม้ป่า ,แผ่นดินไหว ฯลฯ ซึ่งผู้คนทั้งหลายต่างหาวิธีการแก้ปัญหา แต่ก็หาไม่ถูกจุด ปัญหาก็ยังเกิดขึ้นบ่อยๆ และนับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ วิธีการแก้ปัญหาต่างๆในโลกนี้ ถ้าจะให้แก้ปัญหากันให้ถูกจุดจริงๆ และดีที่สุด ก็ต้องแก้ที่ตัวมนุษย์ในโลก ที่ต้องหมั่นอยู่ในคุณงามความดี ฝึกคุณธรรม และจริยธรรม รวมทั้งต้องหมั่นฝึกใจ ให้กระแสใจไปควบคุมกระแสบรรยากาศโลก ด้วยการปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนากันมากๆ เพื่อโลกของเราจะได้เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ มีอาหารอุดมสมบูรณ์ ปัญหาต่างๆก็จะลดน้อยลง

๓. การสะสมทำให้เกิดการขโมย

การสะสมอาหาร มีการเก็บข้าวสาลีกันเอาไว้ ดังในอัคคัญญูสูตร ส่งผลให้เกิดปัญหาการลักขโมยตามกันมา ทั้งนี้เพราะ เมื่อมีการสะสมเกิดขึ้นจะมีสิ่งที่ตามมาคือ
๑. เริ่มมีความขี้เกียจเกิดขึ้น
๒. ความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้น
คนที่เห็นแก่ตัวเกินเหตุนี้เอง ก็จะกลายเป็นโลภ ไปเอาของคนอื่น และก็ทำให้เกิดการผิดศีลข้อที่ ๒ ขึ้น คือ อทินนาทาน ซึ่งก็เป็นการผิดศีลข้อแรกในโลก ดังนี้จึงควรเห็นความสำคัญของต้นปัญหาในการเกิดการขโมย แท้จริงแล้วคือการสะสม จะเห็นได้จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเน้นให้พระภิกษุสงฆ์บริหารปัจจัย ๔ ให้ดี ไม่ให้มีการเก็บสะสม ก็เป็นการป้องกันปัญหาบางอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นมาได้

๔. โดยอันล่วงไปแห่งกาลอันยาวนาน โลกนี้ก็จะพินาศไป เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ โดยมากหมู่สัตว์ย่อมวนเวียนไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม ด้วยเหตุผลคือ

เพราะว่าเมื่อกาลเวลาล่วงเลยไปนาน พอถึงจุดหนึ่ง ประมาณแสนปีก่อนที่โลกจะถึงการพินาศแตกสลาย จะต้องตั้งกัปใหม่ จะมีเทวดาเหล่ากามาวจรภูมิที่ร่วมกับชนชาวโลก จะพากันปล่อยเศียรสยายผมร้องไห้ เช็ดน้ำตา นุ่งผ้าแดงแปลงรูปให้ผิดไป แล้วเที่ยวไปตามถิ่นมนุษย์ เป่าประกาศว่า
“ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ตั้งแต่นี้ไปประมาณแสนปีจะตั้งกัปใหม่ขึ้น โลกก็จะพินาศ มหาปฐพีก็จะพินาศ แม้พญาเขาสิเนรุ ก็จะโอนเอนพินาศ ตลอดจนถึงพรหมโลกก็จะพินาศ ดูก่อนผู้นิรทุกข์ ท่านจงพร้อมใจกันเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาเถิด” คือเจริญพรหมวิหาร ๔ บำรุงบิดามารดา เคารพยำเกรงผู้ที่เป็นหัวหน้าสกุล ในกาลนี้เรียกว่า “กัปโกลาหล”

พวกมนุษย์เมื่อได้ยินคำของเทวดาเหล่านี้ ก็เกิดสลดใจ และตั้งหน้าตั้งตาทำบุญ มีเมตตาเป็นต้น แล้วก็ได้ไปเกิดในเทวโลก จากมนุษย์ไปเป็นเทวดา พอละโลกไปเป็นเทวดาแล้ว ก็ไปทำบริกรรม สมาธิภาวนาต่อ จนได้ฌาน ส่วนพวกสัตว์อื่นๆ เช่น หมู, ไก่, กา, หมา ฯลฯ ด้วยอำนาจบุญที่เคยทำไว้ในอดีต เมื่ออีกแสนปีโลกจะไหม้ มนุษย์ตั้งใจรักษาศีลภาวนากันเต็มที่ สัตว์พวกนี้ไม่มีใครรบกวน สิ่งแวดล้อมก็จะเริ่มดี เมื่อสิ่งแวดล้อมมันเริ่มดี ใจก็เริ่มเป็นกุศล เมื่อใจเป็นกุศล ละโลกไปก็เกิดเป็นมนุษย์ เมื่อเป็นมนุษย์ ตั้งใจสั่งสมความดีก็ไปเกิดเป็นเทวดา จากเทวดาก็ทำภาวนาต่อจนเป็นพรหม

เอกสารอ้างอิง
———————————————————————-
หนังสือพระธรรมเทศนา พระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตะชีโว
หนังสือพุทธศาสตร์ โดยศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคคลากร

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *