Win Win or Why Why??

  • by

         ฉันเป็นคนหนึ่งที่ใช้บริการรถสาธารณะเป็นประจำ และบ่อยครั้งก็ต้องพึ่งพาแท็กซี่ เพราะบางสถานที่ที่จะไป หารถเมล์ยาก ต้องต่อรถหลายต่อ ไม่สะดวก และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องรอรถเมล์อย่างไม่มีความหวัง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมาซักที ทำให้คำนวณเวลาที่จะไปถึงจุดหมายตรงเวลาไม่ได้ ตรงนี้เป็นปัญหาสำคัญ !!
         จำได้ว่าตอนอยู่เมืองนอก เคยเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังถึงการรอรถเมล์ในเมืองไทย เพื่อนถามกลับมาอย่างสงสัยว่า แล้วยูจะรู้ได้อย่างไรว่า รถจะมาเมื่อไหร่ แล้วจะไปถึงจุดหมายกี่โมง …. ดิฉันก็ตอบว่า … ก็ไม่รู้ ต้องรอไปเรื่อย ๆ ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เพื่อนก็ทำหน้างงๆ แล้วบอกว่า “ลำบากเน๊อะ…”

         กลับมาเข้าเรื่องการใช้รถสาธารณะดีกว่า

         “อย่างกระนั้นเลย ยอมใช้เงินซื้อเวลาดีกว่า”

         ฉันคิดแบบนี้บ่อย ๆ “บางทีเงินอาจหาใหม่ได้ แต่เวลาที่เสียไปแล้วเรียกคืนไม่ได้” ถ้าไปช้าจะเสียเครดิต เราไม่อยากเป็นคนแบบนั้นแล้ว เพราะสมัยก่อนฉันเป็นคนที่ชอบมาสายเป็นประจำ

         แล้ววันนึง ฉันก็ใช้บริการรถแท็กซี่ไปสายใต้ใหม่ บนถนนบรมราชชนนี ฉันรอรถอยู่นานพอสมควร เมื่อมีแท็กซี่มาคันหนึ่ง จึงรีบเรียกทันที พอรถเข้าจอด ฉันรู้สึกเสียใจนิด ๆ เพราะคันนี้ค่อนข้างเก่า พอขึ้นไปนั่ง ยิ่งรู้สึกเสียใจเพิ่มขึ้นอีก เพราะสภาพมันเก่ามาก รถเสียงดัง สะเทือนมาก “นี่ฉันจะไปถึงสายใต้ทันเวลาไหมเนี่ย ….” ฉันคิดในใจ

         ระหว่างทางนั่งรถไปครึ่งทาง คนขับรถก็มีโทรศัพท์เข้ามา

         “….. ตอนนี้กำลังอยู่วงแหวน ทางไปบางบัวทอง รถเริ่มติดแล้ว ไม่รู้จะไปทันหรือเปล่า …..”

         ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก

         พอรถวิ่งไปได้ซักพัก จนถึงแยกวงเวียนถนนรัตนาธิเบศร์ แท็กซี่ก็รถดับ สตาร์ทใหม่ ดับ สตาร์ทใหม่ อยู่ 3 ครั้ง แล้วครั้งที่ 4 รถก็สตาร์ทไม่ติดอีกเลย

         “…. งานเข้าแล้ว ….” ฉันคิดในใจ

         คนขับบอกว่า รถสตาร์ทไม่ติดแล้ว ขอโทษด้วย คงไปส่งถึงสายใต้ไม่ได้ พร้อมกับโบกแท็กซี่คันใหม่ให้ฉัน

         “เอาแค่ 250 บาทพอครับ” แท็กซี่บอก ทั้ง ๆ ที่มิเตอร์ขึ้นไป 261 บาทแล้ว

         “ใจดีเหมือนกันนะ” ฉันคิดในใจ ได้ประหยัดไปอีก 11 บาทด้วย

         ฉันนั่งรถแท็กซี่คันใหม่ จนถึงสายใต้ใหม่ จ่ายเงินเรียบร้อย ฉันก็เพิ่งคิดว่า จริง ๆ แล้วฉันจ่ายแพงไปอีก 24 บาท เพราะฉันต้องเสียค่าสตาร์ทแท็กซี่คันใหม่อีก 35 บาท อืมม… ไม่น่าโง่เลยเรา

….1 เดือนถัดมา ….

         ฉันเรียกแท็กซี่จากย่านฝั่งธน ไปอนุสาวรีย์ชัยฯ

         แท็กซี่พยักหน้า แล้วขึ้นไปนั่งบนรถ แท็กซี่ถามว่าไปส่วนไหนของอนุสาวรีย์ชัยฯ ฉันก็บอกว่า หัวมุมอนุสาวรีย์ชัยฯ ตรงหน้าร้านรูปฟูจิเลย แท็กซี่บอก ครับ ต้องถามให้ละเอียด เพราะผู้โดยสารบางคนชอบให้ไปส่งคิวรถตู้ แล้วมันคิวไหนหล่ะ เยอะไปหมด …. แท็กซี่บ่นให้ดิฉันฟัง

         แท็กซี่ขับมาทางถนนราชวิถี กำลังมุ่งหน้าไปรพ.พระมงกุฎ รถเริ่มติดไฟแดง และก็ติดแบบไม่ขยับเลย สักพักแท็กซี่ก็บอกว่า “รถเป็นอะไรไม่รู้ ความร้อนขึ้นสูง”

         ฉันแอบมองจากข้างหลัง ก็เห็นป้าย H ขึ้นจนถึงขีดแดงเต็มพิกัด ก็เริ่มรู้สึกว่า เอาไงดี …. “รถมันจะระเบิดไหมคะ” ดิฉันถามแบบขำขำ

         แท็กซี่ตอบว่า “ไม่ระเบิดหรอกครับ แต่เครื่องมันจะดับ”

         พอพูดจบเครื่องก็ดับลง …. ฉันก็นึก เอาอีกแล้ว ทำไงดี หันไปด้านหลัง เห็นรถเมล์คันหนึ่ง ป้ายเขียนว่าไปอนุสาวรีย์ชัยฯ แท็กซี่ก็บอกว่า ลงแล้วขึ้นคันต่อไปแล้วกันครับ ฉันมองป้ายมิเตอร์ราคา 79 บาท เตรียมหยิบเงินจ่าย

         แท็กซี่บอกว่า “เอา 50 บาทพอครับ” …. ฉันคิดในใจ “ดีเหมือนกันแฮะ ถูกกว่าเดิมอีกแล้ว…..”

         จากนั้นฉันก็วิ่งมาขึ้นรถเมล์คันหลัง เสีย 10 บาท ไปถึงอนุสาวรีย์ชัยฯ

         ฉันใช้เวลาร่วม 30 นาที จากรพ.พระมงกุฎ ไปถึงอนุสาวรีย์ เพราะรถติดมาก

         ฉันเริ่มคิดอะไรได้บางอย่าง ….

         สองเหตุการณ์ที่ดิฉันประสบ ทำให้ฉันเริ่มคิดว่า ตกลงนี่มันเป็นทฤษฎี win win หรือเปล่านะ ฉันจ่ายเงินน้อยกว่ามิเตอร์ แล้วแท็กซี่ก็ไม่ต้องไปติดบริเวณที่รถติดหนัก ๆ แล้วก็ปล่อยฉันลงไว้ข้างทาง พร้อมกับพูดสุภาพ ๆ ว่า “ขอโทษด้วยนะครับ”

         แต่เมื่อคิดต่อ ฉันก็พบว่า เพราะฉันต้องเสียเวลาขึ้นรถคันใหม่ และก็อาจจะไม่ได้ถูกกว่าเดิม เพราะมีค่าสตาร์ทใหม่ 35 บาท และความไม่สะดวกในการต้องเปลี่ยนรถ

         ในขณะเดียวกันก็คือ แท็กซี่ฉลาด ไม่ยอมไปส่งฉันถึงปลายทาง เพราะรถติดมากทำให้เสียเวลา แท็กซี่ต้องรีบทำเงิน อาจจะเลือกไปรับผู้โดยสารในเส้นทางอื่นที่รถไม่ติด แต่ใช้วิธีรถเสียมาเป็นข้ออ้างให้กับฉัน … ท่าทางมันจะ win เฉพาะแท็กซี่แล้วมั้ง

         ไหน ๆ ก็บ่นเรื่องแท็กซี่แล้ว ขอต่ออีกนิดนึงว่า เวลาเรียกแท็กซี่ บ่อยครั้งที่แท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสาร โดยอ้างว่า “ส่งรถ” ฉันเคยเรียกอยู่ประมาณ 5 คัน “ส่งรถ” เหมือนกันหมดเลย จนกระทั่ง โน้ต เดี่ยว 8 เอาไปแซวในโชว์ว่า “ส่งที่ไหนหรอ จะตามไปส่งด้วย”

         ถ้าในต่างประเทศ แท็กซี่ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธผู้โดยสารเลย เพราะเป็นกฎหมายของเขา นึกถึงผู้มีชื่อเสียงในวงวิชาการไทยท่านหนึ่ง เคยพูดว่า ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธก็จริง แต่คนไทยมักมีศีล 5 ไม่ค่อยครบ ในขณะที่คนต่างชาติ ไม่รู้จักศีล 5 แต่กลับมีความซื่อสัตย์สูงมาก ตรงนี้เป็นสิ่งที่เราชาวพุทธน่าเอากลับมาทบทวนมากทีเดียว

         … จนถึงทุกวันนี้ฉันก็ยังสงสัยอยู่ ทั้ง 2 เหตุการณ์ที่เจอ ว่าเขาตั้งใจทำแบบนั้นจริงๆ หรอ มันเป็นคำถามที่คาใจฉันมาก ฉันคิดในใจตลอดว่า why why?? … ฉันจะไปถามใครดีนะ

——————————————————————–
By …. NANA

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *